ลิเวอร์พูล ยังคงรักษาช่องว่างกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหลือ 2 แต้มเท่าเดิม หลังจากโชว์ความสุดยอดไล่บี้คว้า 3 แต้มในเกมชนะ เบิร์นลี่ย์ 3-1 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา แม้ว่าแมตช์นี้่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะมีการโรเตชั่นนักเตะถึง 7 คนก็ตาม
ต้องยอมรับว่าการใช้ระบบโรเตชั่นของ คล็อปป์ ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วง เนื่องจากคุณภาพของทีมไม่ได้ดีเทียบเท่ากับ แมนฯ ซิตี้ และก็เป็นไปอย่างที่คิดเมื่อทีมไม่สามารถผลิตผลงานดีมีคุณภาพได้อย่างที่ตั้งใจ แถมยังโดนเจ้าบ้านยิงประตูขึ้นนำไปก่อนอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อกุนซือชาวด๊อยท์ช ตัดสินใจส่งผู้เล่นตัวจริงอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลงสนาม กลายเป็นว่า "หงส์แดง" กลับมาเล่นได้อย่างโดดเด่นอีกครั้ง และครองเกมได้เหนือกว่า จนนำไปสู่การได้ชัยชนะที่สุดสำคัญในแมตช์นี้
หลังจบเกมสิ่งที่น่ากังวลสำหรับ ลิเวอร์พูล ที่เห็นได้ชัดก็คือขุมกำลังเชิงลึกที่ยังมีคุณภาพไม่เพียงพอ และอาการบาดเจ็บของ โจ โกเมซ ซึ่งไม่รู้ว่าจะหนักมากแค่ไหน
1. ขุมกำลังสำรองยังไม่ดีพอ
หลังจากมีการประกาศ 11 ตัวจริงเพียง 1 ชั่วโมงก่อนเกมที่เทิร์ฟ มัวร์ โดย เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจใช้ระบบโรเตชั่นในแมตช์นี้ ซึ่งหากมองจากรายชื่อแล้วก็ดูไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่นี่คือเกมพรีเมียร์ลีก แม้ เบิร์นลี่ย์ จะอยู่รองบ๊วย แต่พวกเขาไม่ใช่ทีม ลีก วัน หรือแชมเปี้ยนชิพ ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ 3 แต้ม
คล็อปป์ เลือกเปลี่ยนผู้เล่นถึง 7 คนจากทีมชุดเฉือน "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรวมทั้งนักเตะกำลังหลักอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งมีรายงานว่าได้รับบาดเจ็บ โดยเห็นได้ชัดเลยว่าในครึ่งแรก "เดอะ เร้ดส์" ไม่สามารถเล่นเกมบุกอย่างที่เคยทำได้ โดยสถิติบ่งชี้ว่าทีมมีโอกาสยิงประตู 4 ครั้งจาก นาบี เกอิต้า (2 ครั้ง), เจมส์ มิลเนอร์ กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ คนละครั้ง
ด้านหน้าการใช้ ดิว็อค โอริกี้ คู่กับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ดูท่าทางจะไม่ค่อยเวิร์คเพราะทั้งสองคนแทบจะไม่ได้บอล โดยพวกเขาสัมผัสบอลกันคนละ 16 ครั้งเท่านั้นก่อนพักครึ่ง สำหรับผลของการโรเตชั่นถึง 7 คนแสดงให้เห็นว่าทีมยังขาดการประสานงานทั้งเกมรับ และเกมรุกที่ยังเล่นไม่ไหลลื่นมากนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อกองหน้าไม่สามารถผลิตสกอร์ได้ ทำให้ มิลเนอร์ ต้องแบกรับความรับผิดชอบอีกครั้ง และก็เป็นเขาที่ยิงประตูตีเสมอให้ทีม ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่โหมดปกติเมื่อ คล็อปป์ ส่ง โม ซาลาห์ กับ ฟีร์มีโน่ ลงสนามช่วยกลางครึ่งหลัง และบทสรุปก็คือทั้งสองคนช่วยพลิกเกมให้ทีมชนะได้อย่างสุดยอด
2. อลีสซง พิสูจน์ศักยภาพอีกครั้ง
นับตั้งแต่หายนะในเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากผลงานดีมีคุณภาพของ ลอริส คาริอุส นายทวารรูปหล่อ ทำให้ "หงส์แดง" พยายามทุ่มเงินซื้อ อลีสซง มาจาก โรม่า ในช่วงซัมเมอร์นี้
หลังจากที่ นายทวารทีมชาติบราซิล ย้ายมาเฝ้าเสาในถิ่นแอนฟิลด์ เจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มสุดยอดในเกมพรีเมียร์ลีกทันที โดยเสียแค่ 5 ประตูจาก 14 เกมแรกที่เล่นให้ "เดอะ เร้ดส์" ในฤดูกาลนี้ อย่างไรก็ตาม อลีสซง ก็มีเรื่องผิดพลาดเช่นกันซึ่งมาจากความมั่นใจในตัวเอง เมื่อดันพยายามหลอกผู้เล่น เลสเตอร์ ที่บริเวณหน้าปากประตู จนกระทั่งโดนฉกไปยิงทำให้เขาเสียประตูแรกในลีกเมืองผู้ดี แต่เดชะบุญต้นสังกัดยังเก็บ 3 คะแนนได้สำเร็จ
สำหรับเกมล่าสุดเยือน เบิร์นลี่ย์ เกมในครึ่งหลัง อลีสซง ทำพลาดจากจังหวะการทำประตูของ เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ ด้วยการใช้ปลายนิ้วปัดบอลก่อนที่บอลจะไปเข้า แจ็ค คอร์ค ที่ทิ่มบอลโล่งๆ สบายอุราเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม อลีสซง ยังคงแสดงศักยภาพแห่งความเป็นยอดโกล์ด้วยการปัดบอลจากการโหม่งของ เบน มี แถมยังโชว์ไหวพริบที่รวดเร็วในการเปิดบอลให้เพื่อนร่วมทีม ก่อนบอลจะไหลไปที่ โม ซาลาห์ ที่ส่งบอลอย่างเหนือชั้นให้กับ เซอร์ดาน ชากีรี่ เข้าไปยิงปิดกรอบให้ทีมได้อย่างงดงาม
3. ฟาน ไดค์ สุดสำคัญกับ ลิเวอร์พูล
เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากบรรดากูรูลูกหนังนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนมกราคมนี้ และก็ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงที่ว่านี่คือกองหลังที่สุดสำคัญสำหรับ "หงส์แดง" เพราะเขามีส่วนทั้งเกมรับ และเกมรุกของทีมมากๆ
สำหรับฟอร์มการเล่นในเกมที่เทิรฟ์ มัวร์ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปราการหลังชาวดัตช์ สามารถเคลียร์จังหวะสำคัญๆ ให้กับทีมได้หลายครั้งโดยเฉพาะจังหวะการเล่นลูกโด่งของถนัดของเจ้าบ้าน ฉะนั้นผลงานในเกมรับของ อดีตแข้ง เซาธ์แฮมป์ตัน ยังคงเป็นความหวังให้กับทีมได้เสมอ
ขณะเดียวกัน ฟาน ไดค์ ยังแสดงให้เห็นถึงการช่วยทีมในเกมรุกด้วย โดยเฉพาะจังหวะที่มีส่วนสำคัญในการนำต้นสังกัดได้ประตูขึ้นนำ เมื่อเขาวิ่งไปรับบอลจากการเปิดฟรีคิกของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ บริเวณเส้นหลัง และตบเข้ามาที่หน้าประตูให้ ฟีร์มีโน่ ยิงประตูสบายๆ
4. บ็อบบี้ กลับมาแล้ว
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หัวหอกชาวบราซิเลียน ทำผลงานต่ำกว่ามาตรฐานไปนิดนึงในซีซั่นนี้ นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงหลายๆ เกมที่ผ่านมา
สาเหตุสำคัญก็มาจากการที่เจ้าตัวซัดไปเพียง 3 ประตูในเกมลีกให้กับ "เดอะ เร้ดส์" ก่อนเกมกับ เบิร์นลี่ย์ แต่หลังจากที่ คล็อปป์ จำเป็นต้องส่งนักเตะลงสนามในครึ่งหลังเพราะทีมต้องการประตูอย่างมาก โดย "ฟีร์มี่" ไม่ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" ผิดหวัง เพราะเขาช่วยให้ทีมได้ประตูขึ้นนำได้สำเร็จ
5. อาการเจ็บ โจ โกเมซ น่าเป็นห่วง
ลิเวอร์พูล อาจได้ชัยชนะที่สำคัญในเกมนี้ แต่พวกเขาต้องมีเรื่องกังวลจากการเห็น โจ โกเมซ ต้องโดนหามลงเปลออกจากสนาม
ดาวเตะ วัย 21 ปี กำลังทำผลงานขึ้นหม้อจริงๆ ในฤดูกาลนี้ แต่เจ้าตัวต้องพบกับโชคร้ายสุดๆ จากการโดนเข้าสกัดจาก เบน มี และทำให้นักเตะต้องลงไปนอนกลิ้งก่อนที่นักกายภาพบำบัดจะเข้ามาตรวจเช็ค และสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวออกไปตั้งแต่ต้นเกม
นี่เป็นอีกครั้งที่ โกเมซ ต้องพบกับฝันร้ายจากอาการบาดเจ็บ เพราะเขาก็เคยต้องเจออาการบาดเจ็บเล่นงานทำให้พลาดลงเล่นเกมนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา รวมไปถึงชวดติดทีมชาติอังกฤษ ลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ด้วย
สำหรับตอนนี้สิ่งที่ คล็อปป์ กับแฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" ต้องลุ้นก็คือ โกเมซ จะเจ็บหนักแค่ไหน และหากเจ็บหนักจะต้องพักนานเท่าไหร่ เพราะหากทีมขาดนักเตะรายนี้ ต้องบอกเลยว่าส่งผลกระทบอย่างแรงแน่นอน
อันดับ | ทีม | แข่ง | คะแนน |
1 | เซาแธมป์ตัน | 0 | 0 |
2 | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | 0 | 0 |
3 | คริสตัล พาเลซ | 0 | 0 |
4 | ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ | 0 | 0 |
5 | วัดฟอร์ด | 0 | 0 |
6 | นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด | 0 | 0 |
7 | แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | 0 | 0 |
8 | แมนเชสเตอร์ ซิตี้ | 0 | 0 |
9 | ลิเวอร์พูล | 0 | 0 |
10 | เลสเตอร์ ซิตี้ | 0 | 0 |
1 | เออิบาร์ | 0 | 0 |
2 | เซบีย่า | 0 | 0 |
3 | บียาร์เรอัล | 0 | 0 |
4 | เซลต้า บีโก้ | 0 | 0 |
5 | เลบานเต้ | 0 | 0 |
6 | เลกาเนส | 0 | 0 |
7 | เกตาเฟ่ | 0 | 0 |
8 | เรอัล โซเซียดาด | 0 | 0 |
9 | เรอัล มาดริด | 0 | 0 |
10 | บาเลนเซีย | 0 | 0 |
1 | แวร์เดอร์ เบรเมน | 0 | 0 |
2 | โวล์ฟสบวร์ก | 0 | 0 |
3 | สตุ๊ตการ์ต | 0 | 0 |
4 | ชาลเก้ 04 | 0 | 0 |
5 | เนิร์นแบร์ก | 0 | 0 |
6 | มึนเช่นกลัดบัค | 0 | 0 |
7 | ไมนซ์ | 0 | 0 |
8 | เลเวอร์คูเซ่น | 0 | 0 |
9 | ฮันโนเวอร์ 96 | 0 | 0 |
10 | แฮร์ธ่า เบอร์ลิน | 0 | 0 |
1 | ยูเวนตุส | 38 | 95 |
2 | นาโปลี | 38 | 91 |
3 | เอเอส โรม่า | 38 | 77 |
4 | อินเตอร์ มิลาน | 38 | 72 |
5 | ลาซิโอ | 38 | 72 |
6 | เอซี มิลาน | 38 | 64 |
7 | อตาลันต้า | 38 | 60 |
8 | ฟิออเรนติน่า | 38 | 57 |
9 | โตริโน่ | 38 | 54 |
10 | ซามพ์โดเรีย | 38 | 54 |
1 | ตูลูส | 0 | 0 |
2 | สตารส์บูร์ก | 0 | 0 |
3 | แซงต์ เอเตียน | 0 | 0 |
4 | น็องต์ | 0 | 0 |
5 | นีซ | 0 | 0 |
6 | โมนาโก | 0 | 0 |
7 | มงเปอลีเย อัชแอ็สเซ | 0 | 0 |
8 | โอลิมปิก มาร์กเซย | 0 | 0 |
9 | ลีลล์ | 0 | 0 |
10 | โอลิมปิก ลียง | 0 | 0 |
1 | บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด | 24 | 59 |
2 | แบงค็อก ยูไนเต็ด | 24 | 50 |
3 | การท่าเรือ เอฟซี | 24 | 47 |
4 | จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | 24 | 41 |
5 | เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด | 24 | 41 |
6 | เชียงราย ยูไนเต็ด | 24 | 40 |
7 | นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี | 24 | 35 |
8 | ชลบุรี เอฟซี | 24 | 34 |
9 | พัทยา ยูไนเต็ด | 24 | 34 |
10 | ราชบุรี มิตรผล เอฟซี | 24 | 32 |